2559 Flashcards
(50 cards)
ผนังเซลล์ของเห็ดรา มีองค์ประกอบเป็นสารชนิดใด
A. เซลลูโลส
B. ลิกนิน
C. ไคติน
D. เห็ดราไม่มีผนังเซลล์
C. ไคติน
อธิบาย
ผนังเซลล์ของเห็ดรามีองค์ประกอบหลักเป็นไคติน (chitin) ซึ่งเป็นโพลิแซ็กคาริดที่มีนิโตรเจน และเป็นสารที่พบในผนังเซลล์ของแมลง และสัตว์กลุ่มอาร์โทรโพดา (arthropods) ด้วย ในขณะที่พืชมีผนังเซลล์ที่ประกอบด้วยเซลลูโลส (cellulose)
สารชีวโมเลกุลในข้อใด หากมีการสลายอย่างสมบูรณ์แล้วจะได้หน่วยย่อย (monomer) เพียงชนิดเดียว
A. ดีเอ็นเอ
B. อาร์เอ็นเอ
C. ไกลโคเจน
D. โปรตีน
C. ไกลโคเจน
อธิบาย
ไกลโคเจนเป็นพอลิแซ็กคาไรด์ซึ่งประกอบไปด้วยโมเลกุลกลูโคส (glucose) หลายๆ โมเลกุลที่ต่อกันเป็นสายยาว หากมีการสลายไกลโคเจนอย่างสมบูรณ์แล้ว จะได้หน่วยย่อย (monomer) คือ กลูโคส
สำหรับสารชีวโมเลกุลอื่น ๆ ดังนี้
ดีเอ็นเอ (DNA): หน่วยย่อยคือนิวคลีโอไทด์ที่ประกอบด้วยไนโตรจีนัสเบส 4 ชนิด (A, T, C, G)
อาร์เอ็นเอ (RNA): หน่วยย่อยคือนิวคลีโอไทด์ที่ประกอบด้วยฐานไนโตรเจน 4 ชนิด (A, U, C, G)
โปรตีน: หน่วยย่อยคือ กรดอะมิโน 20 ชนิด
เทคโนโลยีที่ใช้ลักษณะเฉพาะทางชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา ในการระบุตัวตนบุคคล เรียกว่าอะไร
A. Bioinformatics
B. Biosensor
C. Biomechanics
D. Biometrics
D. Biometrics
อธิบาย
Biometrics คือ เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อระบุตัวตนของบุคคลผ่านการวิเคราะห์และเปรียบเทียบลักษณะทางชีวภาพหรือพฤติกรรมที่มีความเฉพาะบุคคล รวมทั้งสมบัติที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องการระบุตัวตน เทคโนโลยีนี้ใช้ลักษณะทางชีวภาพของบุคคลในการระบุตัวตน ไม่ว่าจะเป็นลายนิ้วมือ รูปร่างของหน้าตา ม่านตาตา การพูด หรือการเดิน เป็นต้น
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการไหลของไซโทพลาซึม (cytoplasmic streaming) ของเซลล์
A. เกิดขึ้นเฉพาะเซลล์โพรแคริโอตเท่านั้น
B. เกิดจากซิเลียหรือแฟลกเจลลา
C. ไม่พบในพืชที่มีสีเขียว
D. เกิดจากไมโครฟิลาเมนต์ภายในเซลล์
D. เกิดจากไมโครฟิลาเมนต์ภายในเซลล์
อธิบาย
การไหลของไซโทพลาซึมหรือ “cytoplasmic streaming” เป็นการเคลื่อนที่ของไซโทพลาซึมภายในเซลล์ ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนที่ของไมโครฟิลาเมนต์ หรือโปรตีนเส้นใยขนาดเล็กที่เป็นส่วนหนึ่งของไซโทสเกเลตัล การไหลนี้ช่วยในการเคลื่อนที่ของสารอาหาร และขยะเซลล์ ภายในเซลล์
โปรตีนในข้อใดที่ไม่ได้ถูกสร้างจากร่างแหเอนโดพลาซึมแบบขรุขระ
A. โปรตีนในไลโซโซม
B. โปรตีนใน extracellular matrix
C. โปรตีนในไมโทคอนเดรีย
D. โปรตีนในเยื่อหุ้มเซลล์
C. โปรตีนในไมโทคอนเดรีย
อธิบาย
ไมโทคอนเดรียมีดีเอ็นเอของตนเองและสามารถสังเคราะห์โปรตีนของตนเองได้ โดยไม่ได้ใช้ร่างแหของเอนโดพลาซึมแบบขรุขระในการสังเคราะห์โปรตีน
ในขณะที่โปรตีนในไลโซโซม โปรตีนใน extracellular matrix และโปรตีนในเยื่อหุ้มเซลล์ ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นจากร่างแหของเอนโดพลาซึมแบบขรุขระ
กระบวนการเมแทบอลิซึมในข้อใดที่เกิดขึ้นภายในไมโทคอนเดรีย
A. การสลายกรดไขมัน
B. ไกลโคลิซิส
C. การสร้างคลอเรสเตอรอล
D. การสลายไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
A. การสลายกรดไขมัน
กระบวนการเมแทบอลิซึมที่เกิดขึ้นภายในไมโทคอนเดรียคือการสลายกรดไขมัน (fatty acid oxidation) หรือเรียกอีกชื่อว่า การเบต้า-การอกซิเดชัน (beta-oxidation) กระบวนการนี้กรดไขมันจะถูกตัดเป็นโมเลกุลที่มีขนาดเล็ก (2 Carbon) และผลิตพลังงานที่จำเป็นสำหรับเซลล์
โครงสร้างใดในเซลล์พืชที่ทำหน้าที่ช่วยในการรักษาแรงดันเต่งของเซลล์
A. คลอโรพลาสต์
B. ไรโบโซม
C. เพอร์ออกซิโซม
D. เซ็นทรัล แวคิวโอล
D. เซ็นทรัล แวคิวโอล
เซ็นทรัล แวคิวโอล (Central Vacuole) เป็นโครงสร้างภายในเซลล์พืชที่มีขนาดใหญ่และมีหน้าที่สำคัญคือการเก็บน้ำและสารต่างๆ ไว้ภายในเซลล์ ซึ่งช่วยในการรักษาแรงดันเต่ง (turgor pressure) ของเซลล์ แรงดันเต่งนี้มีส่วนช่วยให้เซลล์และพืชทั้งต้นคงรูปร่างเป็นไปตามปกติ และเมื่อเซลล์มีน้ำเพียงพอ แรงดันเต่งจะสูง ทำให้เซลล์และพืชทั้งต้นยืดตัวและแข็งแรง
ในเซลล์พืช การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักรจะทำให้เกิดเหตุการณ์ในข้อใด
A. สร้าง ATP
B. NADP+ ถูกรีดิวซ์กลายเป็น NADPH
C. เกิดแก๊สออกซิเจน
D. ระบบแสงที่ II ถูกออซิไดซ์
A. สร้าง ATP
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (cyclic electron transport) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในเซลล์พืช และทำให้เกิดการสร้าง ATP โดยใช้ระบบแสง I เท่านั้น แต่ไม่มีการสร้าง NADPH หรือการปล่อยแก๊สออกซิเจน
เนื้อเยื่อของพืชบริเวณใดที่จะมีการผลิตแก๊สออกซิเจนมากที่สุด
A. คอร์เทกซ์
B. เอพิเดอร์มิส
C. พาลิเสด มีโซฟิลล์
D. วาสคูลาร์ แคมเบียม
C. พาลิเสด มีโซฟิลล์
พาลิเสดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) คือเนื้อเยื่อของพืชที่เรียงตัวอยู่ในชั้นบนของใบพืช และมีคลอโรพลาสต์จำนวนมาก ซึ่งภายในมีคลอโรฟิลล์ในการดูดกลืนแสงเพื่อนำไปสู่กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) และในกระบวนการนี้แก๊สออกซิเจนจะถูกผลิตขึ้น ดังนั้นพาลิเสดมีโซฟิลล์คือส่วนของพืชที่มีการผลิตแก๊สออกซิเจนมากที่สุด
หากนําเซลล์ของพืชน้ําจืดชนิดหนึ่ง ไปแช่ในน้ําทะเล จะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น
A. น้ำจะเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์ ทำให้เซลล์แตกออก
B. น้ำจะเคลื่อนที่เข้าสู่เซลส์ แต่เซลล์จะไม่แตกออกเนื่องจากเซลล์พืชมีผนังเซลล์
C. น้ำจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เกิดการหดตัว
D. น้ำจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์เกิดการหดตัว
C. น้ำจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เกิดการหดตัว
เมื่อเซลล์พืชน้ำจืดมาแช่ในน้ำทะเลที่มีความเค็มสูง น้ำภายในเซลล์จะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ผ่านกระบวนการออสโมซิส เนื่องจากน้ำภายนอกเซลล์มีเข้มค้นของสารสูง ซึ่งทำให้ค่าศักย์ของน้ำ (water potential) ต่ำกว่าภายในเซลล์ ทำให้น้ำภายในเซลล์ไหลออก เรียกสถานะของเซลล์นี้เรียกว่า เซลล์เหี่ยว (plasmolysis) โดยปกติแล้วจะไม่ทำให้ผนังเซลล์หดตัว แต่จะทำให้เยื่อหุ้มเซลล์หดตัวและห่างจากผนังเซลล์
ข้อความใดกล่าวไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับแบบจำลอง fluid mosaic model ของเยื่อหุ้มเซลล์
A. โมเลกุลของลิพิดมีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบตลอดเวลา
B. โมเลกุลของลิพิดมีการสลับตำแหน่งจากชั้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่งตลอดเวลา
C. โปรตีนที่ฝังอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์สามารถเคลื่อนที่ในแนวระนาบได้
D. ชนิดและองค์ประกอบของลิพิดมีผลต่อความเป็นของเหลวของเยื่อหุ้มเซลล์
B. โมเลกุลของลิพิดมีการสลับตำแหน่งจากชั้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่งตลอดเวลา
ในแบบจำลอง fluid mosaic model ของเยื่อหุ้มเซลล์ โมเลกุลของลิพิดสามารถเคลื่อนที่ได้เฉพาะในแนวระนาบของเยื่อหุ้มเซลล์ แต่ไม่มีการสลับตำแหน่งจากชั้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่งตลอดเวลา
ในกระบวนการงอกของเมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดจะเกิดการแตกออกเนื่องมาจากสาเหตุใด
A. เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดของใบเลี้ยง
B. เกิดการแบ่งตัวของเซลล์อย่างรวดเร็ว
C. เกิดการหายใจระดับเซลล์ในอัตราสูงของเอ็มบริโอ
D. เกิดการดูดน้ำในปริมาณมากของเมล็ด
D. เกิดการดูดน้ำในปริมาณมากของเมล็ด
เมื่อเมล็ดพืชงอก เมล็ดจะเริ่มดูดน้ำจากสิ่งแวดล้อมเข้าไปภายในเมล็ด การดูดน้ำนี้ทำให้เกิดการขยายของเนื้อเยื่อภายในเมล็ด ทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดถูกขยายและแตกออก กระบวนการนี้ช่วยให้เอ็มบริโอ (embryo) ภายในเมล็ดสามารถแทรกออกมาและเริ่มการเจริญเติบโต
เซลล์พืชชนิดใดที่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการตายของเซลล์แบบที่มีการกําหนดไว้แล้ว (programmed cell death) เพื่อให้สามารถทํางานได้
A. เซลล์ลำเลียงอาหาร
B. เซลล์หมวกราก
C. เซลล์เวสเซล
D. เซลล์คุม
C. เซลล์เวสเซล
เซลล์เวสเซล (vessel cells) ในพืชสามารถทำงานได้หลังจากที่มีการตายของเซลล์แบบที่มีการกำหนดไว้แล้ว (programmed cell death) โดยหลังจากกระบวนการตายของเซลล์เยื่อหุ้มเซลล์จะถูกทำลายออกไป ทำให้เซลล์เวสเซลสามารถเชื่อมต่อกันเป็นท่อยาวๆ ที่ใช้สำหรับการลำเลียงน้ำและธาตุอาหารจากรากไปยังส่วนต่างๆ ของพืชได้
พืชชั้นสูงมีการกำหนดขั้วในการเจริญเติบโตเป็นด้านรากและด้านต้น การกําหนดขั้วดังกล่าวถูกกำหนดเมื่อใด
A. ตั้งแต่ต้นอ่อนได้รับแสงครั้งแรก
B. ตั้งแต่เกิดการงอกของรากลงสู่ดิน
C. ตั้งแต่เกิดการสร้างดอกในต้นพ่อแม่
D. ตั้งแต่เกิดเป็นเอ็มบริโอในเมล็ด
D. ตั้งแต่เกิดเป็นเอ็มบริโอในเมล็ด
การกำหนดขั้วในการเจริญเติบโตเป็นด้านรากและด้านต้นเริ่มตั้งแต่ระยะเอ็มบริโอในเมล็ด หรือที่เรียกว่า การกำหนดขั้วเซลล์ (cellular polarity) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการพัฒนาของพืช โดยเริ่มเกิดตั้งแต่ระยะการพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ โดยด้านที่จะกลายเป็นรากจะมีคุณสมบัติและฟัหน้าที่แตกต่างจากด้านที่จะกลายเป็นต้น
โมเลกุลของอาหารในข้อใดบ้างที่พบในหลอดเลือด hepatic portal vein
ก. มอลโตส
ข. แลกโตส
ค. กาแลคโตส
ง. กรดอะมิโน
A. ก และ ข
B. ค และ ง
C. ข และ ค
D. ก และ ค
B. ค และ ง
หลอดเลือด hepatic portal vein คือ ระบบเส้นเลือดที่นำโมเลกุลอาหารที่ดูดซึมจากระบบย่อยไปยังตับ โมเลกุลอาหารที่พบในหลอดเลือดนี้ได้แก่ กาแลคโตส (galactose) และ กรดอะมิโน (amino acids) แต่ไม่มีมอลโตสหรือแลกโตสเนื่องจากเป็นสารที่ยังไม่ใช่ Monomer จึงยังไม่มีการดูดซึมเข้าระบบไหลเวียนเลืด
กระบวนการเพอริสตัลซิส (peristalsis) เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อชนิดใด
A. กล้ามเนื้อเรียบ
B. กล้ามเนื้อลาย
C. กล้ามเนื้อหัวใจ
D. กล้ามเนื้อทุกชนิดเกิดการหดตัวแบบเพอริสตัลซิส
A. กล้ามเนื้อเรียบ
กระบวนการเพอริสตัลซิส (peristalsis) คือ การหดตัวเป้นระลอกคลื่นของกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ในผนังของหลอดอาหาร และระบบย่อยอาหาร ทำให้อาหารที่อยู่ภายในสามารถเคลื่อนที่ไปได้
นำน้ำมาจากแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง เพื่อศึกษาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กภายใต้กล้องจุลทรรศน์ การที่จะระบุว่าโพรโตซัวที่มีชีวิตชนิดหนึ่งที่เห็น เป็นชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำเค็มนั้น ระบุจากอะไร
A. ระบุจากชนิดของพืชน้ำที่ปนมากับน้ำ
B. เปรียบเทียบจากภาพในหนังสือที่รวบรวมโพรโตซัวชนิดต่าง ๆ
C. ตรวจสอบการมี contractile vacuole หรือไม่
D. ตรวจสอบจากออร์แกเนลล์ที่ใช้เคลื่อนไหว
C. ตรวจสอบการมี contractile vacuole หรือไม่
Contractile vacuole เป็นองค์ประกอบของเซลล์ที่พบในโพรโตซัวน้ำจืด และมีหน้าที่ในการขับน้ำออกจากเซลล์ โพรโตซัวอาศัยอยู่ในน้ำจืดมีความเข้มข้นของน้ำในเซลล์ต่ำกว่าน้ำภายนอกเซลล์ ส่งผลให้น้ำเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์โดยปริมาณมาก ทำให้เซลล์มีความเสี่ยงที่จะแตกพัง Contractile vacuole จึงทำหน้าที่ในการป้องกันสภาวะนี้โดยการหดตัวบีบน้ำออก
เซลล์หรือสิ่งมีชีวิตใดต่อไปนี้มีโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนไหวเหมือนกัน
A. ปีกนกกับปีกแมลง
B. เซลล์อะมีบากับเซลล์เม็ดเลือดขาว
C. ครีบปลากับครีบของวาฬ
D. ครีบปลากับปีกแมลง
C. ครีบปลากับครีบของวาฬ
Analogous structures คือโครงสร้างที่มีหน้าที่คล้ายกันแต่มีการกำเนิดและโครงสร้างทางชีวภาพที่แตกต่างกัน ครีบปลากับครีบของวาฬก็เป็นตัวอย่างของโครงสร้างที่มีหน้าที่เดียวกันคือใช้เคลื่อนที่ในน้ำ แต่มีการกำเนิดและโครงสร้างทางชีวภาพที่แตกต่างกัน
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง ในภาวะของร่างกายที่ขาดน้ำ
A. ต่อมใต้สมองส่วนหลังถูกกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมน ADH ไปมีผลต่อหน่วยไตให้ดูดกลับน้ำ
B. เมื่อร่างกายขาดน้ำจะมีผลกระตุ้นสมองไฮโพทาลามัส ส่วนที่ควบคุมการกระหายน้ำ
C. ต่อมหมวกไตถูกกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน (aldosterone) ไปมีผลต่อหน่วยไตให้ดูดกลับน้ำมากขึ้น
D. เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้แรงดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น
ข้อนี้มีข้อผิดสองข้อ คือ
D เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้แรงดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น
กล่าวไม่ถูกต้อง
เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้แรงดันเลือดลดลง
โปรตีนชนิดใดไม่เกี่ยวข้องกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ
A. Tubulin
B. Troponin
C. Tropomyosin
D. Actin
A. Tubulin
Tubulin ไม่เกี่ยวข้องกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ แต่เป็นโปรตีนที่ใช้ในการสร้าง microtubules ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างไซโทสเกเลตัล ในขณะที่ Troponin, Tropomyosin และ Actin เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ข้อใดไม่ใช่ภาวะผิดปกติที่เกิดจากโกรทฮอร์โมน (growth hormone)
A. Dwarfism
B. Giantism
C. Acromegaly
D. Cushing syndrome
D. Cushing syndrome
ภาวะ Cushing syndrome ไม่เกิดจากโกรทฮอร์โมน (growth hormone) แต่เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตในปริมาณมากเกินไป ซึ่งฮอร์โมนนี้มีผลต่อการเพิ่มน้ำหนัก, การสะสมไขมัน, และการเพิ่มความดันโลหิต แต่ Dwarfism, Giantism, และ Acromegaly เป็นภาวะผิดปกติที่เกิดจากการหลั่ง growth hormone ในปริมาณที่ต่างจากปกติ
Dwarfism - ภาวะนี้เกิดจากการหลั่ง GH ในปริมาณน้อยเกินไปหรือไม่มีเลย ซึ่งส่งผลให้เตี้ยเคระ มีการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อไม่สมบูรณ์ ทำให้มีความสูงน้อยกว่าปกติ
Giantism - ภาวะนี้เกิดจากการหลั่ง GH ในปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ร่างกายยังอยู่ในระยะการเจริญเติบโต (วัยเด็ก) ส่งผลให้ร่างกายมีขนาดใหญ่และมีความสูงเกินกว่าปกติ
Acromegaly - ภาวะนี้เกิดจากการหลั่ง GH ในปริมาณมากเกินไปในช่วงเวลาหลังจากที่ร่างกายหยุดการเจริญเติบโตแล้ว ผลของ GH จึงส่งผลทำให้มีการขยายขนาดของกระดูกและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ทำให้มีการเพิ่มขนาดของแขน, ขา, มือ, เท้า, ใบหน้า, และขากรรไกร
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนวัติ
A. เซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 1 ในระบบประสาทซิมพาเทติกอยู่ในส่วนไขสันหลังส่วนอกและกระเบนเหน็บ
B. เซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 1 ในระบบประสาทพาราซิมพาเทติกอยู่ในส่วนไขสันหลังส่วนเอว
C. อะซิติลโคลีนเป็นสารสื่อประสาทของเซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 1
D. ศูนย์กลางการสั่งการของระบบประสาทซิมพาเทติกอยู่ในส่วนไขสันหลังและสมอง
C. อะซิติลโคลีนเป็นสารสื่อประสาทของเซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 1
สารสื่อประสาทที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 1 และตัวที่ 2 ในช่อง synapse คือ อะซิติลโคลีน การปล่อยอะซิติลโคลีนออกมาจากเซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 1 จะเป็นการกระตุ้นให้เซลล์ประสาทสั่งการตัวที่ 2 ทำงาน ซึ่งจะทำให้เกิดการตอบสนองต่อการกระตุ้นจากระบบประสาทมพาเทติก และพาราซิมพาเทติก
ถ้าเบตาเซลล์ (B-cell) ของ Islets of Langerhans ไม่สามารถทํางานได้ ข้อใดต่อไปนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น
A. น้ำตาลในเลือดและปัสสาวะเพิ่มขึ้น
B. น้ำตาลในเลือดและปัสสาวะลดลง
C. น้ำตาลในเลือดลดลงแต่ในปัสสาวะเพิ่มขึ้น
D. น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นแต่ในปัสสาวะลดลง
A. น้ำตาลในเลือดและปัสสาวะเพิ่มขึ้น
เบตาเซลล์ (B-cells) ใน Islets of Langerhans ของตับเป็นเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยในการลำเลียงน้ำตาลเข้าไปเก็บในเซลล์ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไกลโคเจน ถ้าเบตาเซลล์ไม่สามารถทำงานได้ จะทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น และทำให้มีน้ำตาลในปัสสาวะซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานแบบที่ 1 (type 1 diabetes)
แม่ไก่กกไข่ ถ้าเราเอาไข่ไก่ออกไป ใส่ก้อนหินลงไปแทน แม่ไก่ก็ยังกกไข่อยู่ การทดลองนี้แสดงว่า เป็นพฤติกรรมแบบใด
A. ความเคยชิน
B. สัญชาตญาณ
C. ลองผิดลองถูก
D. การฝังใจ
B. สัญชาตญาณ
พฤติกรรมของแม่ไก่ที่กกไข่เป็นสัญชาตญาณหรือพฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีการเรียนรู้ พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่กระตุ้นให้มีการแสดงออก ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร แม่ไก่ก็ยังมีพฤติกรรรมกกไข่อยู่ แม้ว่าไข่จะถูกแทนที่ด้วยหินก็ตาม